» เคเอฟซี ประเทศไทย ตระหนักถึงความสำคัญของเป้าหมาย Zero Dropout จึงร่วมกับ กสศ. และศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ เดินหน้าสานต่อโครงการ KFC Bucket Search เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา
การสร้างโอกาสและความเท่าเทียมทางด้านการศึกษา ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน เคเอฟซี ร่วมสร้างหลักสูตรการเรียนเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิตเด็ก เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กไทยทุกคนมีศักยภาพที่หลากหลายและควรได้รับการสนับสนุนให้ค้นหาศักยภาพและพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นอาชีพได้ ทั้งนี้เพื่อรองรับเด็กและเยาวชนไทยจำนวนไม่น้อยที่หมดโอกาสกลับเข้าห้องเรียนเหมือนคนอื่นๆ และต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัญหาของระบบการศึกษาไทยที่จำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนที่ไม่พบข้อมูลในระบบการศึกษา ตั้งแต่ชั้นอนุบาล – มัธยมศึกษาปีที่ 6 สูงสุดถึง 1.02 ล้านคน จึงได้มีการดำเนินมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ติดตามนำเด็กที่ต้องเลิกเรียนกลางคันกลับเข้าสู่การศึกษายืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิตยุคปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง พร้อมตั้งเป้าหมายว่า ประเทศไทยจะต้องบรรลุเป้าหมาย Zero Dropout ภายในปี 2570
เคเอฟซี ประเทศไทย ตระหนักถึงความสำคัญของเป้าหมาย Zero Dropout จึงร่วมกับ กสศ. และศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ เดินหน้าสานต่อโครงการ KFC Bucket Search เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา โดยมอบโอกาสให้เด็กได้เลือกการเรียนที่เหมาะสมกับตนเองแบบยืดหยุ่น ทั้งด้านเวลาและวิชาเรียน ผ่านทางเลือก Work & Study หรือหลักสูตรวิชาชีพที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละคน ช่วยให้พวกเขาสำเร็จการศึกษาและพึ่งพาตนเองได้
โครงการ KFC Bucket Search จะสร้างประโยชน์อย่างยิ่งต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ที่ต้องการแรงงานที่มีทักษะจำเป็นเหมาะสมกับการทำงานในตลาดงานยุคปัจจุบันและอนาคต ด้วยหลักสูตรที่มีความยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการทำงานจริง พร้อมทั้งได้รับความรู้ด้านการเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในปัจจุบันและอนาคต
โครงการนี้สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นต้นแบบให้ภาคเอกชนอื่นๆ ที่มีวิสัยทัศน์คล้ายคลึงกันสามารถเข้ามาร่วมแก้ปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษาด้วยกันได้ ทั้งนี้ ได้วางเป้าหมายที่จะขยายผลโครงการเพื่อมอบโอกาสให้เด็กที่หลุดออกจากระบบเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ช่วยให้เด็กๆ ได้นำความรู้และประสบการณ์ไปพัฒนาต่อยอดอาชีพการงาน สร้างรายได้เลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศด้วย
แจนเน็ต รุ้งสิทธิกุล Senior Marketing Manager KFC Thailand กล่าวว่า โครงการ KFC Bucket Search ที่ดำเนินการในแต่ละประเทศจะขึ้นอยู่กับปัญหาสังคมในประเทศนั้นๆ ในส่วนของประเทศไทย การศึกษาคือรากฐานของทุกอย่าง จึงโฟกัสเรื่องเด็กหลุดออกนอกระบบ และเคเอฟซีมีหลักสูตรและเครื่องมือ (Tools) ที่ทำขึ้นมาสามารถนำมาต่อยอดในการพัฒนาคนและสามารถใช้เครื่องมือที่มีอยู่มาปรับ (Adapt) กับการช่วยเหลือสังคมได้
สำหรับความร่วมมือกับ กสศ. เริ่มในปี 2566 โดยช่วยเด็กจากสถานพินิจ ที่หลุดจากระบบ 130 คน โดยเด็ก 60 เปอร์เซ็นต์สนใจการเรียนวิชาชีพ เช่น เปิดร้านตัดผม และ เปิดร้านอาหาร เป็นต้น
“เราเชื่อว่าเด็กเค้ามีศักยภาพแต่คนมองไม่เห็น ครั้งแรกช่วยไป 130 คน โดยที่เราเจาะเด็กกลุ่มสถานพินิจเป็น
กลุ่มแรกเราไม่ได้ให้แค่เงิน เพราะเราตั้งใจให้ทุกคนสามารถมีทักษะพึ่งพาดูแลตัวเองได้ เรามีออปชันให้ 130 คนเลือก work and study หรือวิชาชีพ เพราะปัญหาของเด็กเหล่านี้คือเรื่องเงินทุน ครอบครัว สภาพแวดล้อม การทำแบบนี้ยั่งยืนสำหรับเด็กกว่า make sure ว่ามีทางเลือกในชีวิตจริงๆ” แจนเน็ต กล่าว
แจนเน็ต กล่าวต่อว่า หลังจากที่ได้สนับสนุนการศึกษาแบบยืดหยุ่นระยะแรกในต้นปี 2566 และในปี 2568 จะขยายการศึกษาแบบยืดหยุ่นจากเด็กจากสถานพินิจ สู่คุณพ่อคุณแม่วัยใส โดยเน้นคุณพ่อคุณแม่วัยใสภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่หลุดออกนอกระบบ รวมถึงกลุ่มเปราะบาง ทั้งสิ้น 1,000 คน โดยเน้นเยาวชนที่มีอายุ 15-24 ปี หรือเด็กนักเรียนช่วงม.ปลาย ปวส. และ ปวช. เพราะเด็กหลุดออกนอกระบบ 50 เปอร์เซ็นต์ หลังจบ ม.3 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่
สำหรับหลักสูตรที่ส่งเสริมเด็กหลุดออกนอกระบบมีสองหลักสูตรในรูปแบบ Work and Study คือ ทำงานที่ร้านเคเอฟซีและ ทำงานที่ออฟฟิศของ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด
“การช่วยมนุษยชน มันคือเรื่องของความเท่าเทียม ที่เราทำงานร่วมกับ กสศ. ภายใต้โครงการ Thailand Zero Dropout ให้เด็กทุกคนสามารถเรียนหนังสือได้ ยืดหยุ่นพอ ไม่จำกัดแค่ในห้องเรียน เราเป็นแบรนด์แรก ที่ทำกับ กสศ ที่เน้นพัฒนาทักษะที่เอามาใช้ได้จริงๆ” แจนเน็ตกล่าวและว่า
“เราช่วยสร้างโอกาสทางด้านอาชีพ (Job opportunity) ที่เหมาะสมกับตลาดในอนาคต ในส่วนความคิดเห็น (Mindset) ของพนักงานเป็นการชี้ให้พนักงานเห็นว่ามีคนหลายรูปแบบ สำหรับพนักงานในองค์กร พอน้องมาทำงานหลักสูตรเคเอฟซี เราได้คุยกับผู้จัดการร้าน เคเอฟซี เขาจะกลายเป็นครู เป็นเมนเทอร์ที่ดีของเด็ก พี่เค้าบอกว่าอยากจะให้โอกาสเด็กกลุ่มนี้ เด็กกลุ่มนี้เค้ามีความพยายาม พนักงานของเราอยากที่จะเข้ามามีส่วนร่วม พี่ๆ พนักงานในร้านพร้อมสนับสนุน พี่ๆ ทุกคนให้โอกาสกับน้องๆทุกสาขาทั่วประเทศ เราอยากให้เด็กมีโอกาส มีออปชันในชีวิตที่มากขึ้น ถ้าเราได้ช่วยให้สังคมดีขึ้น ธุรกิจก็จะดีขึ้น” แจนเน็ต กล่าว
ปัจจุบัน เคเอฟซี มีพันธมิตรเข้ามาช่วยสนับสนุนโครงการการศึกษาแบบยืดหยุ่น อาทิ WAVS project ร่วมกับ Warner music และอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร ประกอบด้วย บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG), บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (RD), บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (QSA) และ กลุ่ม Bangkok Design Week, Paktai Design week เราเข้าไปสนับสนุน เปิดพื้นที่ให้เด็กเราได้เข้าไปแสดงความสามารถ และเพื่อ รองรับทักษะที่หลากหลายมากขึ้นให้เด็กได้ค้นหา (Explore) อาชีพใหม่ๆ ที่ต้องการมากขึ้น
“ถ้าการศึกษาดี ทุกคนมีทักษะอาชีพ หลากหลาย ทันกับสมัย เศรษฐกิจประเทศก็ขับเคลื่อนไปได้ ธุรกิจก็ดำเนินต่อไปได้ ในระยะยาวในภาพใหญ่ แต่เราคงช่วยคนเดียวไม่ได้ ต้องมีเพื่อนๆ ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ มาช่วยกัน” แจนเน็ต กล่าว และว่า
“น้องคนนึงที่ทำงานกับเคเอฟซีเรา เด็กผู้ชายคูลๆ วัยร่น ดีใจที่สามารถหาเงินและเรียนไปด้วย เพราะเค้ามีความฝันที่อยากเปิดร้านขายรองเท้ามือสอง การได้วุฒิ มีเพื่อนมีสังคม ได้รับการยอมรับ มันยิ่งใหญ่กับเขาจริงๆ การให้ทักษะอาชีพ คือการปิดวงจร (Loop) เพราะถ้าน้องหลุดนอกระบบ ไม่มีอาชีพรองรับ มันจะกลายเป็นวัฎจักร ให้พึ่งพาตัวเองได้จริงๆ ไม่ใช่แค่ให้ความรู้ ต้องเข้าใจก่อนว่าเด็กต้องการอะไร เพื่อจะได้หาเครื่องมือได้ถูก ต้องลงไปทำงานกับนักจิตวิทยาวัยรุ่น การทำ life plan” แจนเน็ต กล่าว
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า จากการที่ กสศ. ได้ดำเนินมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout ภายในปี 2570) ปัจจุบันสามารถติดตามเด็กเยาวชนกลับเข้าสู่เส้นทางการศึกษาเรียนรู้ได้แล้ว 304,082 คน จากจำนวนเด็กและเยาวชนที่ไม่มีรายชื่อในระบบการศึกษา 1,025,514 คน
ล่าสุดข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2567 ยังมีเด็กและเยาวชนที่ไม่มีรายชื่อในระบบการศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 982,304 คน แบ่งเป็นช่วงวัยก่อนการศึกษาภาคบังคับ 279,296 คน อยู่ระหว่างการศึกษาภาคบังคับ 387,591 คน และหลังการศึกษาภาคบังคับ 315,417 คน
โดยพบว่าในระหว่างปีการศึกษา มีการขยับเข้า-ออกระบบการศึกษาของเด็กเยาวชนอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลุ่มที่หลุดออกไปแล้วได้กลับมาเรียน กลุ่มที่อายุเข้าสู่วัยเรียนแต่ยังไม่ได้เข้าเรียน และกลุ่มที่หลุดจากระบบการศึกษาออกมาเพิ่มด้วยสาเหตุต่างๆ
ดังนั้นทิศทางการทำงานเรื่องเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษาจึงต้องทำให้เกิดการรับรู้และมีความเข้าใจจากสังคมในการสร้างโอกาสเข้าถึงการศึกษา ทางเลือกพัฒนาตนเองและเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ตลอดจนหาทางป้องกันไม่ให้มีเด็กหลุดออกจากเส้นทางการศึกษากลางทาง ซึ่งเป็นมิติปัญหาที่มีความเปราะบาง ซับซ้อน
“กสศ. และภาคีมีข้อสรุปว่าการจะทำงานให้ลุล่วงได้ จำเป็นต้องมีสองสิ่งดำเนินไปควบคู่กัน หนึ่งคือใช้การระดมสมองเพื่อจัดการ และสองคือใช้หัวใจเพื่อทำความเข้าใจเด็ก ๆ เพราะหากมองตัวเลขเป็นตัวตั้ง แล้วใช้เพียงการจัดการโดยไม่เอาหัวใจลงไปจับกับสถานการณ์ที่เด็กเผชิญอยู่ เราจะไม่มีหนทางเลยที่จะทำให้เด็กเยาวชนทุกคนเข้าสู่การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับบริบทชีวิตของแต่ละคนได้จริง ๆ”
สำหรับโครงการที่ KFC ร่วมกับ กสศ. ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กทุกคน สร้างโอกาสให้กลุ่มเปราะบางได้เข้าถึงการศึกษาหรือการพัฒนาทักษะเพื่อการประกอบอาชีพ ดูแลตนเองต่อไปได้ พร้อมนำร่องสร้างหลักสูตรการเรียนที่ยืดหยุ่น เพื่อแก้ปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา
“การเรียนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน เคเอฟซีจึงร่วมสร้างหลักสูตรการเรียนเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิตเด็ก เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กไทยทุกคนมีศักยภาพที่หลากหลายและควรได้รับการสนับสนุนให้ค้นหาศักยภาพและพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นอาชีพได้ การศึกษาที่ยืดหยุ่น ที่ตอบโจทย์ชีวิตของเด็กที่มีความหลากหลาย จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะส่งเสริมการดำเนินมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ติดตามนำเด็กที่ต้องเลิกเรียนกลางคันกลับเข้าสู่การศึกษายืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิต” ดร.ไกรยส กล่าว
และเสริมว่า สถิติจากกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม พบว่าระหว่างปี 2561-2565 มีเด็กและเยาวชนกระทำความผิดรวม 134,988 คดี โดยเด็กอายุระหว่าง 15-18 ปีมีแนวโน้มที่จะกระทำผิดมากที่สุด โดยเฉพาะในกรณีของคดียาเสพติด ซึ่งเป็นคดีอันดับหนึ่ง
ดร.ไกรยส กล่าวต่อว่า นอกจากความร่วมมือกับ KFC แล้วยังมีความร่วมมือกับพันธมิตรรายอื่นเพื่อนำเสนอและพัฒนาหลักสูตรพร้อมฝึกอาชีพสำหรับเด็กที่อยู่นอกระบบ เช่น ห้องเรียนบาริสต้า ร่วมกับแบรนด์ Bellinee’s, การพัฒนาทักษะ e-Commerce เพื่อการเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ ร่วมกับบริษัท Sea ประเทศไทย ผู้ให้บริการอีคอมเมริส์ แพลตฟอร์ม Shopee, บริษัทฟู้ดแพชชั่น ผู้ให้บริการ Bar B Q Plaza รวมทั้งร่วมกับภาคีเอกชนอื่นๆ ในเรื่องการเปิดพื้นที่การเรียนรู้ หรือการทำงานในรูปแบบ Learn to Earn ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผนร่วมกัน อาทิ มูลนิธิ SCG, บริษัท Assetwise เป็นต้น
“การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรเข้าถึงได้ แต่ด้วยอาจมีปัญหาซับซ้อนหลายมิติ อาจทำให้เด็กและเยาวชนบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาในระบบได้ การศึกษาที่ยืดหยุ่นและโอกาส เช่น โครงการ Bucket Search ได้เปิดประตูเชื่อมต่อให้กับน้องๆ กลุ่มเปราะบาง ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กทุกคน สร้างโอกาสให้กลุ่มเปราะบางได้เข้าถึงการศึกษาหรือการพัฒนาทักษะเพื่อการประกอบอาชีพ ดูแลตนเองต่อไปได้
ดังนั้นทิศทางการทำงานเรื่องเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษาจึงต้องทำให้เกิดการรับรู้และมีความเข้าใจจากสังคมในการสร้างโอกาสเข้าถึงการศึกษา ทางเลือกพัฒนาตนเองและเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ตลอดจนหาทางป้องกันไม่ให้มีเด็กหลุดออกจากเส้นทางการศึกษากลางทาง ซึ่งเป็นมิติปัญหาที่มีความเปราะบาง ซับซ้อน
“การศึกษาที่ยืดหยุ่น ที่ตอบโจทย์ชีวิตของเด็กที่มีความหลากหลาย จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะส่งเสริมการดำเนินมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เด็กทุกคนเค้ามีสิทธิ์ที่จะได้รับศึกษาและการศึกษาของเด็กแต่ละคนต้นทุนไม่เท่ากันบางคนอาจจะเดินบนเส้นทางที่หลงทางไปบ้าง การกระทำความผิดเหล่านั้นมันไม่ได้ไปตัดสิทธิมนุษยชนในด้านการศึกษาของเด็ก แม่วัยใส 90% ไม่ได้กลับมา การตัดสินใจชั่วครู่ชั่วคราวไปมันไม่ควรมาตัดสินว่าเด็กจะไม่มีโอกาสเสมอภาคทางด้านการศึกษาเหมือนคนอื่นอีก“
ดร.ไกรยส กล่าวต่อว่าประเทศไทยแต่ละปีมีเด็กเกิด500,000 คน เด็กทุกคนมีค่ามาก เราไม่สามารถที่จะปล่อยให้หลุดไปสู่เส้นทางผิดได้ประเทศไทยไม่สามารถที่จะสูญเสียเด็กให้ไปอยู่ในสถานะเส้นทางแบบนี้ได้อีกเลยเพราะฉะนั้นคืออนาคตของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาความยากจนรวมถึงแก้ไขปัญหาต่างๆ
เพราะฉะนั้นการศึกษาควรจะไปหาเด็กไม่ใช่ให้เด็กขนขวาย เมื่อเด็กเกิดน้อยลงควรจะเอาบุคลากรทางกายภาพทางด้านการศึกษามาช่วยเด็กกลุ่มนี้
“เด็กกลุ่มนี้เราทำเป็นมองไม่เห็นเค้าไม่ได้ ไม่เห็นเค้าอยู่ในสังคมไม่มีตัวตนอยู่ในสังคมไทยไม่ได้ เราต้องนึกถึงเขาทำให้เขาเพื่อให้เขามีอยู่ในสังคมในลักษณะที่ใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมเดียวกันมีความเสมอภาคด้วยกันมีโอกาสเสมอภาคร่วมกันในการพัฒนาประเทศ ไม่แพ้เด็กที่จบมหาวิทยาลัย” ดร.ไกรยส กล่าว
สมบัติ หนึ่ง ในเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ กล่าวว่า โครงการ Bucket Search ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตตนเองเป็นอย่างมาก
“การเปลี่ยนแปลง เราต้องสู้กับตัวเอง ต้องห้ามตัวเอง ต้องพิสูจน์ตัวเอง ห้ามตัวเองก็คือห้ามเป็นแบบเดิม ห้ามยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ห้ามคบเพื่อนที่ไม่ดี เปลี่ยนแปลงตัวเองคือต้องพัฒนาตัวเองไปข้างหน้า เพราะถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็จะไม่มีความสุข อาจกลับเข้าไปอยู่ที่เดิม การที่ได้อยู่ในศูนย์ฝึกฯ ทำให้ได้ทบทวนตัวเองว่าพลาดอะไรบ้าง พลาดที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ พลาดที่ไม่ตั้งใจเรียน คบเพื่อนไม่ดี ผมคิดว่าการที่เราจะอยู่ได้อย่างมั่นคงคือหน้าที่การงาน การสนับสนุน กำลังใจ” สมบัติ กล่าว
ขณะที่มะลิ หนึ่งในนักเรียนที่เข้าเรียนแบบยืดหยุ่น กล่าวว่า โครงการนี้ทำให้สามารถ ทำงานและเก็บเงินไปด้วย ทาง KFC ยังให้ทุนการศึกษาในการพัฒนาทักษะอาชีพ เพื่อเอาไปต่อยอดชีวิต พอได้เข้ามาในกิจกรรมก็ได้ความรู้ที่ดี ได้โชว์ศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ ได้แสดงความสามารถในการพูดนำเสนอ ได้สังเกตตัวเองว่าชอบอะไร หนูชอบงานบริการ งานบาร์เทนเดอร์ และตนเองได้รับทุนการศึกษาระหว่างฝึกงานในร้าน Bellinee’s ที่เชียงใหม่ ซึ่งเธอเคยฝันไว้ว่าอยากทำร้านเบเกอรี่ การเรียนรู้ผ่านการฝึกงานทำให้เธอมั่นใจมากขึ้นว่าจะทำความฝันให้เป็นจริงได้
“หนูให้คุณค่ากับตัวเองน้อยเกินไป หนูต้องมีคุณค่ามากกว่านี้ ความผิดพลาดทำให้เราเติบโต”